โฟล์คลิฟท์ยกได้กี่ตัน? วิธีเลือกตามน้ำหนักงานจริง พร้อมคำแนะนำครบวงจร

โฟล์คลิฟท์ยกได้กี่ตัน?

การเลือกใช้รถ โฟล์คลิฟท์ (Forklift) ให้เหมาะสมกับประเภทและน้ำหนักของงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว หากคุณกำลังสงสัยว่า “โฟล์คลิฟท์ยกได้กี่ตัน?” หรือ “วิธีเลือกโฟล์คลิฟท์ตามน้ำหนักงานที่ใช้จริงทำอย่างไร?” คุณมาถูกที่แล้ว

 

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกคำตอบที่ต้องการ ตั้งแต่ความสามารถในการยกของโฟล์คลิฟท์แต่ละประเภท ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อหรือเช่า ไปจนถึงเคล็ดลับการใช้งานอย่างปลอดภัยและยืดอายุการใช้งาน ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ โลจิสติกส์ หรือผู้ที่ต้องทำงานกับรถโฟล์คลิฟท์โดยตรง 

รถโฟล์คลิฟท์ยกได้กี่ตัน? ทำความเข้าใจเรื่องความสามารถในการยก (Lifting Capacity)

ความสามารถในการยกของโฟล์คลิฟท์ หรือที่เรียกว่า Lifting Capacity นั้นคือ น้ำหนักสูงสุดที่รถโฟล์คลิฟท์สามารถยกได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดที่ผู้ใช้งานต้องรู้และทำความเข้าใจให้ดี โดยทั่วไปแล้ว โฟล์คลิฟท์มีหลากหลายขนาดและความสามารถในการยกแตกต่างกันไป ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่พิเศษ:

  • โฟล์คลิฟท์ขนาดเล็ก
    โดยทั่วไปสามารถยกน้ำหนักได้ตั้งแต่ 1.5 ตัน ถึง 3.5 ตัน เหมาะสำหรับงานเบาถึงปานกลางในคลังสินค้าขนาดเล็ก หรือการยกสินค้าทั่วไป
  • โฟล์คลิฟท์ขนาดกลาง 
    มีความสามารถในการยกประมาณ 4 ตัน ถึง 8 ตัน นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โกดังขนาดกลาง หรือการยกสินค้าที่มีน้ำหนักมากขึ้น
  • โฟล์คลิฟท์ขนาดใหญ่
    สามารถยกน้ำหนักได้ตั้งแต่ 10 ตันขึ้นไป จนถึง 50 ตัน หรือมากกว่านั้น ออกแบบมาเพื่องานอุตสาหกรรมหนัก การยกตู้คอนเทนเนอร์ หรือสินค้าที่มีน้ำหนักมหาศาล

ข้อควรรู้สำคัญ 

ความสามารถในการยกที่ระบุบนโฟล์คลิฟท์ (เช่น 3 ตัน) คือความสามารถในการยกสูงสุดที่ ระยะห่างจากศูนย์กลางโหลด (Load Center) ที่กำหนด (มักจะระบุเป็น 500 มม. หรือ 600 มม.) หากน้ำหนักของสินค้าเกินกว่าจุดศูนย์กลางโหลดที่กำหนด ความสามารถในการยกที่แท้จริงของโฟล์คลิฟท์จะลดลง

วิธีเลือกโฟล์คลิฟท์ตามน้ำหนักงานที่ใช้จริง

การเลือกโฟล์คลิฟท์ไม่ได้ดูแค่ว่า “ยกได้กี่ตัน” เท่านั้น แต่ต้องพิจารณา “น้ำหนักที่ใช้จริง” และปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้ได้รถที่ตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด โดยมีขั้นตอนและข้อพิจารณาดังนี้:

1. ประเมินน้ำหนักสูงสุดของสินค้าที่คุณต้องการยก (Maximum Load Weight)

นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด:

  • น้ำหนักเฉลี่ย: สินค้าส่วนใหญ่ที่คุณจะยกมีน้ำหนักประมาณเท่าไหร่?
  • น้ำหนักสูงสุด: สินค้าที่หนักที่สุดที่คุณจำเป็นต้องยกคือเท่าไหร่?
  • เผื่อน้ำหนัก: แนะนำให้เลือกโฟล์คลิฟท์ที่มีความสามารถในการยก สูงกว่าน้ำหนักสูงสุดที่คุณต้องยกจริงประมาณ 10-20% เพื่อความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของรถ เช่น หากคุณต้องยกสินค้าหนักสูงสุด 2 ตัน ควรพิจารณาโฟล์คลิฟท์ขนาด 2.5 ตัน หรือ 3 ตัน

2. ทำความเข้าใจจุดศูนย์กลางโหลด (Load Center)

  • ระยะ Load Center: ตรวจสอบข้อมูล Load Center ของโฟล์คลิฟท์ที่สนใจ ซึ่งมักระบุเป็นระยะจากงาโฟล์คลิฟท์ถึงจุดศูนย์กลางน้ำหนักของสินค้า หากสินค้าของคุณมีขนาดใหญ่และน้ำหนักกระจายตัวออกไปจากจุดศูนย์กลางโหลดที่ระบุ ความสามารถในการยกของโฟล์คลิฟท์จะลดลง (Capacity Derating) คุณต้องเข้าใจตาราง Load Chart ของโฟล์คลิฟท์แต่ละคัน

3. พิจารณาประเภทของโฟล์คลิฟท์และแหล่งพลังงาน

โฟล์คลิฟท์แบ่งออกได้หลายประเภทตามแหล่งพลังงานและลักษณะการใช้งาน ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการยกและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม:

โฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า (Electric Forklift):

  • เหมาะสำหรับ: งานในอาคาร, คลังสินค้า, โรงงานอาหาร, ยา, หรือพื้นที่ที่ต้องการความสะอาดและปราศจากมลพิษ
  • ข้อดี: เสียงเงียบ, ไม่มีมลพิษ, ต้นทุนพลังงานต่ำกว่าในระยะยาว
  • ข้อจำกัด: ต้องชาร์จแบตเตอรี่, ราคาเริ่มต้นสูงกว่า, ความสามารถในการยกและระยะเวลาการทำงานอาจจำกัดกว่า
  • ความสามารถในการยก: หลากหลาย, ตั้งแต่ 1 ตันไปจนถึง 5 ตัน หรือมากกว่า

โฟล์คลิฟท์ดีเซล (Diesel Forklift):

  • เหมาะสำหรับ: งานกลางแจ้ง, ลานกว้าง, การก่อสร้าง, อุตสาหกรรมหนัก
  • ข้อดี: กำลังยกสูง, ใช้งานต่อเนื่องได้นาน, เติมเชื้อเพลิงง่าย
  • ข้อจำกัด: มีเสียงดัง, มีไอเสีย, ไม่เหมาะกับพื้นที่ปิด
  • ความสามารถในการยก: สูง, มักเป็นทางเลือกสำหรับงานยกหนัก 3 ตันขึ้นไปจนถึงหลายสิบตัน

โฟล์คลิฟท์แก๊ส (LPG/NG Forklift):

  • เหมาะสำหรับ: งานทั้งในและนอกอาคาร, พื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี
  • ข้อดี: มลพิษน้อยกว่าดีเซล, เติมเชื้อเพลิงง่าย, ประหยัดกว่าน้ำมันเบนซิน
  • ข้อจำกัด: ยังคงมีไอเสียบ้าง, ต้องเปลี่ยนถังแก๊ส
  • ความสามารถในการยก: ใกล้เคียงกับดีเซล, เหมาะสำหรับงานปานกลางถึงหนัก

โฟล์คลิฟท์แบบนั่งขับ/ยืนขับ (Counterbalance/Reach Truck):

  • Counterbalance Forklift: เป็นแบบทั่วไปที่เห็นบ่อยที่สุด, เหมาะกับพื้นที่กว้าง, ยกได้หลากหลายน้ำหนัก
  • Reach Truck: ออกแบบมาเพื่อคลังสินค้าที่มีทางเดินแคบ, สามารถยกสินค้าขึ้นที่สูงได้มาก, แต่ความสามารถในการยกโดยรวมอาจน้อยกว่า Counterbalance
  • Pallet Truck/Stacker: สำหรับยกพาเลทในระยะทางสั้นๆ, ยกน้ำหนักได้น้อยกว่าโฟล์คลิฟท์ทั่วไป

4. สภาพแวดล้อมและพื้นที่การใช้งาน 

  • ในอาคาร/นอกอาคาร: ต้องการรถที่มีไอเสียหรือไม่? พื้นที่ปิดหรือเปิด?
  • พื้นที่จัดเก็บ: ทางเดินแคบแค่ไหน? เพดานสูงเท่าไหร่?
  • พื้นผิว: เป็นพื้นเรียบ คอนกรีต หรือพื้นขรุขระ (ควรเลือกยางตันหรือยางลม)
  • ความสูงในการยก: คุณต้องการยกสินค้าสูงจากพื้นกี่เมตร? (พิจารณาความสูงเสา Mast)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลือกและใช้งานโฟล์คลิฟท์ 

  • โฟล์คลิฟท์ 2.5 ตัน ยกได้จริงกี่ตัน?
    โฟล์คลิฟท์ 2.5 ตัน หมายถึงความสามารถในการยกสูงสุดที่ 2.5 ตัน ภายใต้เงื่อนไข Load Center ที่กำหนด หากคุณยกสินค้าที่น้ำหนักใกล้เคียง 2.5 ตัน และน้ำหนักนั้นอยู่ห่างจากศูนย์กลางโหลดที่กำหนด ความสามารถในการยกจริงจะลดลงเล็กน้อย เพื่อความปลอดภัย ไม่ควรยกเกินความสามารถที่ระบุ และควรเผื่อน้ำหนักไว้เสมอ

  • ถ้าต้องยกสินค้าสูง 6 เมตร ควรใช้โฟล์คลิฟท์แบบไหน?
    หากต้องยกสินค้าสูง 6 เมตร คุณจะต้องเลือกโฟล์คลิฟท์ที่มีเสา Mast ที่มีความสูงในการยก (Lifting Height) อย่างน้อย 6 เมตร หรือมากกว่านั้น โดยทั่วไปแล้ว Reach Truck เป็นตัวเลือกที่นิยมสำหรับงานยกสูงในคลังสินค้าที่มีพื้นที่จำกัด ส่วน Counterbalance Forklift ที่มีเสาสูงก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ต้องพิจารณาความมั่นคงของรถด้วย

  • รถโฟล์คลิฟท์แบตเตอรี่กับดีเซล แบบไหนประหยัดกว่าในระยะยาว?
    โดยทั่วไป รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า (แบตเตอรี่) มักจะประหยัดกว่าในระยะยาวเมื่อพิจารณาต้นทุนพลังงานและการบำรุงรักษา เนื่องจากค่าไฟฟ้าโดยรวมถูกกว่าค่าน้ำมันดีเซล และมีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า ทำให้ค่าซ่อมบำรุงต่ำกว่า แต่มีต้นทุนเริ่มต้นในการซื้อสูงกว่าและต้องลงทุนในระบบชาร์จแบตเตอรี่

  • การโอเวอร์โหลด (Overload) โฟล์คลิฟท์มีผลเสียอย่างไร?
    การโอเวอร์โหลด (ยกน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนด) มีผลเสียร้ายแรงมาก: * อันตรายต่อความปลอดภัย: อาจทำให้รถเสียสมดุล โค่นล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ * ความเสียหายต่อรถ: ทำให้โครงสร้างรถ เสา งา ระบบไฮดรอลิก และเครื่องยนต์เสียหายหนักและต้องซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูง * หมดประกัน: การใช้งานเกินขีดจำกัดอาจทำให้การรับประกันรถเป็นโมฆะ

  • ทำไมโฟล์คลิฟท์บางคันยกน้ำหนักเท่ากัน แต่ราคาต่างกันมาก?
    ราคาโฟล์คลิฟท์แตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น: * ยี่ห้อและประเทศผู้ผลิต: แบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเทคโนโลยีสูงมักมีราคาสูงกว่า * แหล่งพลังงาน: ไฟฟ้ามักราคาสูงกว่าดีเซล/แก๊สในตอนแรก * คุณสมบัติพิเศษ: เช่น ระบบควบคุมอัจฉริยะ, ระบบความปลอดภัยขั้นสูง, ระบบยกสูงพิเศษ * สภาพรถ: รถใหม่ รถมือสอง หรือรถเช่า * บริการหลังการขายและการรับประกัน: คลินิกที่มีบริการดีและรับประกันนานจะมีราคาสูงกว่า

สรุป: การเลือกโฟล์คลิฟท์ที่ใช่ คือการลงทุนที่คุ้มค่าและปลอดภัย

การเลือกโฟล์คลิฟท์ที่เหมาะสมกับ “น้ำหนักงานที่ใช้จริง” ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขความสามารถในการยกเท่านั้น แต่เป็นการพิจารณาองค์ประกอบรอบด้าน ทั้งประเภทของงาน สภาพแวดล้อม แหล่งพลังงานที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนจำหน่ายโฟล์คลิฟท์ที่มีประสบการณ์ยาวนาน เราเข้าใจทุกความต้องการที่หลากหลายของธุรกิจ

เราพร้อมให้คำแนะนำที่แม่นยำ วิเคราะห์การใช้งานจริงของคุณ และเสนอทางเลือกโฟล์คลิฟท์ที่เหมาะสมที่สุด ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และความปลอดภัย

บทความอื่นๆ เพิ่มเติม

ติดต่อสอบถามบริการรถโฟล์คลิฟท์

Scroll to Top
ขอใบเสนอราคา

สินค้าทุกชิ้นมีการรับประกัน และ มีอะไหล่ดูแล เพียงพอ พร้อมบริการตลอดเวลา มีบริการให้คำปรึกษาฟรีตลอด ทั้ง ก่อนซื้อ และหลังซื้อ 

ขอใบเสนอราคา

สินค้าทุกชิ้นมีการรับประกัน และ มีอะไหล่ดูแล เพียงพอ พร้อมบริการตลอดเวลา มีบริการให้คำปรึกษาฟรีตลอด ทั้ง ก่อนซื้อ และหลังซื้อ 

Quotation Form